โควิดทำ “หัวโจก 3 นิ้ว” หนาว เริ่มสู่โหมดโดดเดี่ยว !!  สำนักงาน กศน.จังหวัดเชียงราย | Smart Site เว็บไซต์สำเร็จรูป






เมืองไทย 360 องศา

ระหว่างที่กำลังลุ้นให้จังหวัดสมุทรสาคร ควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ “โควิด-19” รอบใหม่ให้อยู่ในสภาวะ “เอาอยู่” ได้เร็วที่สุด ซึ่งเชื่อว่า ด้วยบุคลากรทางการแพทย์ และคนไทยที่พร้อมใจกัน รวมไปถึงการตื่นตัวในเรื่องการป้องกัน การ “สวมหน้ากากอนามัย” กันแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ล้างมือ และการเว้นระยะห่าง ทำตามคำแนะนำจากทางการอย่างเคร่งครัด ในความหมายที่เข้าใจง่าย ก็คือ “การ์ดอย่าตก” นั่นแหละ

เพราะเชื่อว่าด้วยความเป็น “มืออาชีพ” ของทั้งเจ้าหน้าที่ และพี่น้องคนไทยจากสถานการณ์ใน “รอบแรก” มาจนถึงวันนี้ เรามีประสบการณ์มากพอ จนน่าจะมีความพร้อมในระดับดีแล้ว

ขณะเดียวกัน มองในอีกมุมหนึ่งการเกิดเหตุที่จังหวัดสมุทรสาครครั้งนี้ มันก็เหมือนกับเป็นการ “กระตุ้น” ให้คนไทยได้กลับมา “รัดกุม” แบบเคร่งครัดกันอีกรอบ หลังจากที่เริ่มเฉื่อยชา เคยชินกันมาพักใหญ่แล้ว เอาเป็นว่าด้วยประสบการณ์แบบมืออาชีพของเรา น่าจะผ่านไปได้อีกรอบในแบบ “ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตระหนก”

อย่างไรก็ดี ภาพของการเกิดการระบาด “รอบใหม่” ดังกล่าว ก็ได้ทำให้มองเห็นภาพบางอย่างเกิดขึ้นในคราวเดียวกัน เป็นภาพที่ “ต่อเนื่อง” จากการชุมนุมของพวก “ม็อบสามนิ้ว” ที่มีการประเมินตรงกันว่ากำลังเข้าสู่ภาวะ “ขาลง” มวลชนร่อยหรอเพียงแค่หลักร้อยเท่านั้น ซึ่งเวลานี้สถานการณ์ไม่เป็นใจเอาเสียเลย เหมือนกับทุกอย่างเริ่มประดังเข้ามาทุกทาง

เพราะล่าสุด “ลูกพี่ใหญ่” อย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่นำทีมคณะก้าวหน้าสู้ศึกเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศ กลับต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายที่สุด มิหนำซ้ำ ที่ผ่านมา ยังถูกชาวบ้านในต่างจังหวัดหลายพื้นที่ขับไล่ เปิดเพลง “หนักแผ่นดิน” ดังกระหึ่ม ยังดีที่ได้ข้ออ้างในเรื่อง “กักตัว 14 วัน” จากโรคโควิด จากการไปช่วยหาเสียงในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันก่อน พอได้หลบหน้าหลบตาคนไปพักหนึ่ง

แต่สำหรับบรรดา “หัวโจกม็อบสามนิ้ว” แล้ว สถานการณ์ถือว่า “น่าหวั่นไหว” อย่างยิ่ง เพราะหลายอย่างไม่เป็นใจ นอกจากเรื่องบรรยากาศของ “ม็อบขาลง” มวลชนถดถอยแล้ว ยังต้องมาเจอกับสถานการณ์การระบาดของโควิดรอบใหม่ประดังเข้ามาอีก มันเหมือนกับการ “ซ้ำเติม” จนตั้งรับไม่ทัน

เนื่องจากว่ากันตาม “ไทม์ไลน์” แล้ว จะสังเกตเห็นว่า กำลังเข้าสู่ “โหมดเดินสายขึ้นโรงพัก” ทั่วประเทศ ไปรับทราบข้อกล่าวหา โน่น นี่ นั่น สารพัด ตามหมายเรียก ที่เรียกว่าแทบจะเป็น “รายวัน” กันเลยทีเดียว และที่น่าจับตาก็คือ การเข้าไปรับทราบข้อหาตาม มาตรา 112 ต่อเนื่องกันหลายคดี แบบต่างกรรม ต่างวาระ แต่ละคดีหากมีความผิดจริงก็จะมีโทษจำคุก ตั้งแต่ 3-15 ปี

นี่ยังไม่นับคดีอื่นๆ ที่แกนนำหลักสามสี่คน มีคดีติดตัวแล้วกว่าร้อยคดี ซึ่งมันก็ต้องมาลุ้นกันในอนาคตอันใกล้นี้ว่า จะมีสักกี่คดีที่ต้องเจอ “แจ็กพอต” โดนคุกบ้าง และอย่างที่รับรู้กันว่า ยังอยู่ในช่วงของขั้นตอนเริ่มต้น คือ ไปรับทราบข้อหาตามหมายเรียก และไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ยังไม่ไปถึงชั้นอัยการ และศาล ซึ่งมีจนถึงศาลฎีกา แต่เพียงแค่หมายเรียกที่มาแบบรายวันแบบนี้ ต้องเดินทางมาที่โรงพัก มันก็ “ผอม” ได้เหมือนกัน

แน่นอนว่า สำหรับใครก็ตามไม่รู้หรอกว่า การถูกดำเนินคดีนั้นมันทุกข์ใจเพียงใด บางคนเพียงแค่คดีเดียวก็กินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว แต่นี่เล่นสะสมคนละนับร้อยคดี และล้วนหนักๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ที่พวกเขากระทำแบบ “เบิ้มๆ” พูดจาปราศรัยบนเวทีแบบตรงๆ ไม่มียั้ง ยิ่งพูดต่อหน้ามวลชน ต่อหน้าม็อบจำนวนนับพัน นับหมื่น หรือหลายหมื่น มีเสียงปรบมือดังกึกก้อง อารมณ์ตอนนั้นมันยิ่งฮึกเหิม ลำพอง ยิ่งพวกแกนนำเวลาไปไหนมาไหนต้องมี “การ์ด” ล้อมหน้าล้อมหลัง ดูแล้วไม่ต่างจากบุคคลสำคัญ

และหากบอกว่า “ม็อบสามนิ้ว” เป็นม็อบของพวกเด็กๆ เยาวชน ที่มีวุฒภาวะค่อนข้างน้อย ไฟแรงจากตำรา ในโลกโซเชียลฯ ยังไม่เคยเผชิญโลกในความเป็นจริง และพร้อมที่จะทำตามแรงยุยงของพวก “หัวดำหัวหงอกอำมหิต” เหล่านั้น ซึ่งในตอนแรกที่บรรยากาศม็อบยังร้อนแรง มวลชนยังมีพลัง ก็จะเห็นการเคลื่อนไหวกดดัน เช่น เมื่อแกนนำถูกดำเนินคดี และไม่ได้รับการประกันตัวก็จะมีม็อบไปกดดันอย่างที่เคยเห็น มีการชูกำปั้นเปล่งเสียง “ปล่อยเพื่อนเรา” เป็นต้น มีจำนวนหนาตา

แต่มาวันนี้ ทุกอย่างกำลังกลับตาลปัตร จากมวลชนไปชุมนุมหน้าโรงพัก หรือสถานีตำรวจ ปักหลักพักค้างหน้าเรือนจำจำนวนมาก ก็เปลี่ยนไป ตัวอย่างที่เห็น เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีแกนนำและผู้สนับสนุนหลายคนต้องไปรับทราบข้อหาตาม มาตรา 112 มีการสร้างขบวนแห่ไปให้กำลังใจ ทำกิจกรรมที่หน้าโรงพัก ก็มีแค่หลักร้อยคนเท่านั้น และในวันรุ่งขึ้น คือ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ก็มีแกนนำหลายคนต้องไปไปรับทราบข้อหาเดิมอีก แต่คราวนี้บรรยากาศไม่อึกทึกครึกโครมเหมือนเดิม ไปกันเงียบๆ

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนทั่วไปกำลังสนใจจดจ่ออยู่กับข่าวคราวการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ก็เป็นได้ จนไม่มีใครมาสนใจมากนัก แต่ก็นั่นแหละบรรยากาศเงียบเหงาแบบนี้ เวลาไปพบตำรวจหรือแม้กระทั่งเดินขึ้นศาลในอนาคตแบบรายวัน จะยิ่งเงียบเหงากว่านี้อีกหลายเท่า เพราะเลย “จุดพีค” มาไกลแล้ว ต่อไปมีแต่ความ “เดียวดาย” เท่านั้น !!